บททบทวนวารสาร
Review Article
ภาวะแทรกซ้อนของการใส่ท่อค้ำยันหลอดลม
Complications of Airway Stents
นาฎวิภา ยวงตระกูล พ.บ.*
ศุภฤกษ์ ดิษยบุตร พ.บ.
แจ่มศักดิ์ ไชยคุนา พ.บ.
* แพทย์เฟลโลว์ อนุสาขาหัตถการวินิจฉัยและรักษาโรคระบบการหายใจ
สาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค
ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
บทนำ
ท่อค้ำยันหลอดลม (airway stents) เป็นอุปกรณ์ที่ใส่เข้าไปในหลอดลม (trachea) และแขนงหลอดลมใหญ่ (bronchi) วัตถุประสงค์เพื่อรักษาการตีบของหลอดลม ปิดรูรั่วระหว่างหลอดลมกับอวัยวะอื่น(fistula) หรือใช้ชั่วคราวหลังการผ่าตัดต่อหลอดลม ท่อค้ำยันหลอดลมผลิตจากวัสดุแตกต่างกัน ทำให้มีความแตกต่างทางกลศาสตร์ชีวภาพ (biomechanics)1 ดังแสดงในตารางที่ 1 ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของท่อค้ำยันหลอดลมแต่ละชนิด ซึ่งผู้ใช้ต้องเลือกให้เหมาะสมกับรอยโรค นอกจากนี้คุณสมบัติทางกลศาสตร์ชีวภาพยังสามารถอธิบายการเกิดภาวะแทรกซ้อนอันเนื่องมาจากท่อค้ำยันหลอดลมได้
ตารางที่ 1 ลักษณะของกลศาสตร์ชีวภาพของท่อค้ำยันหลอดลมและภาวะแทรกซ้อนที่สัมพันธ์กัน (ดัดแปลงจากเอกสารอ้างอิงหมายเลข 1)1
คุณสมบัติ | อธิบาย | ภาวะแทรกซ้อน |
---|---|---|
Retrievability | ความสามารถในการนำท่อค้ำยันออกจากหลอดลมโดยใช้ปากคีบ(forceps) | Metallic stent มี retrievabilityต่ำ ทำให้ยากต่อการจัดตำแหน่ง และการเอาออก จึงไม่เหมาะกับ benign stenosis ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องเปลี่ยนท่อค้ำยันในอนาคตหรือเอาออกเมื่อรอยโรคดีขึ้น |
Expansile radial force | แรงที่เกิดจากการถ่างขยายของท่อค้ำยันที่กระทำกับเยื่อบุผนังหลอดลม ขึ้นกับวัสดุที่ใช้และขนาดของท่อค้ำยัน | การเกิด mucosal ischemia, pressure necrosis ซึ่งทำให้เกิด scarring และ granulation tissues |
Fatigability | แรงที่มากระทำต่อท่อค้ำยันซ้ำๆขณะอยู่ในหลอดลม เช่น จากการหายใจ การไอ การเปลี่ยนตำแหน่งของหลอดลมตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย การกดเบียดจากหลอดอาหารตามจังหวะการกลืน ทำให้ท่อค้ำยันเสื่อมสภาพและเปราะได้ | ท่อค้ำยันเปราะ หรือหัก (stent fracture) มักเกิดใน metallic stent ที่ใส่ไว้เป็นเวลานานๆ |
Biocompatibility | ท่อค้ำยันทำจากวัสดุที่ไม่เข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกาย เป็นเสมือนสิ่งแปลกปลอมในหลอดลม ทำให้เยื่อบุหลอดลมเกิดการตอบสนองต่อท่อค้ำยัน | การเกิด granulation tissue |
Size | เส้นผ่านศูนย์กลางและความยาวของท่อค้ำยัน | ท่อค้ำยันที่เส้นผ่านศูนย์กลางมากเกินไปเมื่อเทียบกับหลอดลมทำให้ expansile radial force สูง ส่งผลให้เกิด pressure necrosis, scarring และ granulation ในทางตรงข้ามเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กเกินไป ทำให้ expansile radial force ต่ำ ทำให้ไม่มีแรงยึดติดกับผนังหลอดลม เกิดการเลื่อนได้ง่าย (migrate) ท่อคำยันสั้นเกินไป ทำให้ไม่สามารถป้องกันการตีบแคบของหลอดลมที่เหนือหรือใต้ต่อท่อค้ำยัน ท่อค้ำยันยาวเกินไป เป็นอุปสรรคต่อการขับเสมหะ และอาจปิดทับจุดแตกแขนงของหลอดลมย่อย (lobar take off) ทำให้ปอดแฟบ |
อุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากท่อค้ำยันหลอดลม
รายงานภาวะแทรกซ้อนจากท่อค้ำยันหลอดลมมีความแตกต่างในแต่ละการศึกษา โดยทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 40-60 ขึ้นกับประชากรที่ทำการศึกษาและชนิดของท่อค้ำยันที่ใช้2-7 โดยพบว่าผู้ป่วยหลอดลมตีบจากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign stenosis) เกิดภาวะแทรกซ้อนบ่อยกว่ากลุ่มที่เป็นมะเร็ง (malignant stenosis) เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้มีอัตราการรอดชีวิตที่สูงกว่า ทำให้มีโอกาสพบภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวมากขึ้น นอกจากนี้เมื่อจำแนกตามสาเหตุของหลอดลมตีบที่ไม่ใช่มะเร็ง พบว่าการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมในภาวะ dynamic central airway collapse พบภาวะแทรกซ้อนได้บ่อยกว่าภาวะ fixed stenosis การศึกษาของ Murgu และคณะ3 พบว่าการใส่ silicone stent ในภาวะexcessive central airway collapse เกิดภาวะแทรกซ้อนสูงถึงร้อยละ 83 และส่วนใหญ่เกิดภายใน 1 เดือน ภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว ได้แก่การเกิด granulation, migration, mucus plugs, post obstructive pneumonia โดยผู้ป่วยร้อยละ 20 ต้องได้รับการส่องกล้องเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนแบบเร่งด่วน (emergent rigid bronchoscopy) นอกจากนี้พบว่าการเกิดหลอดลมตีบภายหลังการติดเชื้อวัณโรค (post-tuberculosis tracheal stenosis) มีแนวโน้มจะเกิดภาวะแทรกซ้อนบ่อยกว่าหลอดลมตีบภายหลังการใส่ท่อช่วยหายใจ (post-intubation tracheal stenosis)5
การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากท่อค้ำยันหลอดลม สามารถเกิดได้ 2 ระยะ คือ
- ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดระหว่างการใส่ท่อค้ำยันหลอดลม
เกิดขณะใส่ท่อค้ำยันหลอดลม มักเป็นปัญหาทางเทคนิคระหว่างการใส่ (deployment) และการจัดตำแหน่งของท่อค้ำยันในหลอดลม การใช้ grasping forceps ดึงหรือดันท่อค้ำยันผ่านรูตีบซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปราะบางอาจทำให้เกิด airway perforation หรือเลือดออกจากการทะลุเส้นเลือดข้างเคียง ปัญหาท่อค้ำยันไม่กางหลัง deployment ซึ่งมักเกิดจากการเลือกท่อค้ำยันที่เส้นผ่านศูนย์กลางมากเกินไป ทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจและการหายใจล้มเหลว หรือเกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจจากสาเหตุอื่น เช่น เลือดออกในทางเดินหายใจและเสมหะ เป็นต้น
2. ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาว
พบได้บ่อยในกรณีหลอดลมตีบจากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง ได้แก่ in stent mucostasis, granulation tissue, migration, stent associated respiratory tract infection และ stent fracture เป็นต้น
2.1 Mucostasis
การเกิดเสมหะอุดตันในท่อค้ำยัน เป็นผลจากการที่ท่อค้ำยันทำให้หลอดลมขาดความยืดหยุ่น(elasticity) และ mucocilliary clearance บริเวณนั้นเสียไป ทำให้การไอขับเสมหะไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเกิดในท่อค้ำยันชนิด silicone และ covered metallic stent สำหรับ uncovered metallic stent จะเกิด mucosalization หรือ epithelialization ที่ผิวของท่อค้ำยันทำให้ยังคง mucocilliary function ไว้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม uncovered metallic stent มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ สูง เช่น มีโอกาสเกิด granulation tissue หรือการโตของมะเร็งเข้ามาในท่อค้ำยันเกิดการอุดตัน จึงไม่มีที่ใช้ในหัตถการทางหลอดลมในปัจจุบัน
เสมหะที่อุดตันในท่อค้ำยันหลอดลมจะมีลักษณะเหนียวคล้ายกาว (glu-like sticky) จับอยู่โดยรอบท่อค้ำยัน ผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อยจากการตีบแคบของท่อค้ำยันโดยมีส่วนน้อยที่อาการรุนแรงจนทำให้เกิดการหายใจล้มเหลว นอกจากนี้ in stent mucostasis ยังส่งเสริมให้เกิด bacterial colonization และ biofilm formation8 ทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
ปัจจัยที่ทำให้เกิด in stent mucostasis ได้แก่
- ท่อค้ำยันที่ทำจาก silicone
- ท่อค้ำยันขนาดยาว
- การไอไม่มีประสิทธิภาพ
- ท่อค้ำยันของหลอดลมแขนงปอดซ้าย (left main bronchus) เนื่องจากกายวิภาคของหลอดลมปอดซ้ายที่แตกทำมุมกับหลอดลมใหญ่มากกว่าหลอดลมของปอดด้านขวา ทำให้ระบายเสมหะได้ยากกว่า
- ผู้ป่วยที่ยังสูบบุหรี่
การป้องกัน in stent mucostasis ทำได้โดยการพ่นน้ำเกลือ (normal saline หรือ 0.9% sodium chloride) ในรูปละอองฝอยอย่างน้อยวันละ 3-4 ครั้ง มีรายงานการใช้ bronchodilators เพื่อ improve mucociliary clearance ในบางการศึกษา9 ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลประสิทธิภาพของการใช้ยาละลายเสมหะ (mucolytics) หรือการพ่น hypertonic saline ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนนี้
2.2 Stent migration
ท่อค้ำยันแต่ละชนิด ได้รับการออกแบบเพื่อป้องกันการเกิด migration ในระดับหนึ่ง ดังแสดงในตารางที่ 210 การเกิด migration พบบ่อยในท่อค้ำยันชนิด silicone แบบท่อตรง โดยมีรายงานการเกิดร้อยละ 16.6 -24 11-12 เมื่อเทียบกับท่อค้ำยันชนิด metallic ซึ่งพบรายงานเพียงร้อยละ 2.2 – 6.4 11,13 สำหรับ bifurcate stent มีโอกาสเกิด migration น้อยมาก แต่ก็มีรายงานการเกิด upward migration ของ silicone Y stent อันเนื่องมาจากมะเร็งที่กดเบียดบริเวณ carina มีขนาดเล็กลงภายหลังได้รับยาเคมีบำบัดและฉายแสง14
ตารางที่ 2 ชนิดของท่อค้ำยันที่ออกแบบเพื่อป้องกันการเกิด migration (ดัดแปลงจากเอกสารอ้างอิงหมายเลข 10)10
ชนิดของท่อค้ำยัน | กลไกการป้องกันการเกิด migration |
---|---|
Silicone stent | |
ท่อค้ำยันแบบท่อตรง (tubular silicone stent) | มี external silicone studs ที่ผิวนอกของท่อค้ำยันและการเกิดแรงกดลงบนผนังหลอดลม |
Montgomery T-tube | การมี horizontal limb |
Silicone Y-stent | ลักษณะรูปตัว Y ซึ่งช่วยค้ำบริเวณทางแยกของหลอดลม |
Metallic stent | |
Ultraflex | Uncovered: มีแรงกดต่อผนังหลอดลมและการเกิด granulation tissue เข้ามาในท่อค้ำยัน แต่ก็เสี่ยงต่อการเกิดการอุดตันภายในท่อค้ำเช่นกัน Covered: ที่ส่วนปลายด้านละ 5 มิลลิเมตรของท่อค้ำยันชนิดนี้ไม่มีวัสดุหุ้ม ทำให้มีโอกาสเกิด granulation tissue ที่ช่วยป้องกันการเกิดmigration ได้ |
การเกิด stent migration พบได้บ่อยในหลอดลมตีบจากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง (benign stricture) เนื่องจากลักษณะของรอยโรคไม่มีแรงกดเบียดจากภายนอก นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงทาง viscoelastic properties ของผนังหลอดลมซึ่งเกิดภายหลังใส่ท่อค้ำยัน ทำให้หลอดลมที่ตีบค่อยๆ ขยายออกเป็นผลให้ท่อค้ำยันหลวมและเสี่ยงต่อการเกิด migration ได้ สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้พบ stent migration ได้บ่อย ได้แก่
- ท่อค้ำยันเส้นผ่านศูนย์กลางเล็กเกินไป
- การใส่ท่อค้ำยันในหลอดลมที่ตีบเป็นรูปโคน (conical shape stenosis)
- การใส่ท่อค้ำยันที่หลอดลมส่วนต้น (high tracheal stenosis) เนื่องจากเส้นผ่านศูนย์กลางหลอดลมส่วนต้นแคบกว่าบริเวณส่วนกลางและส่วนปลาย ทำให้ท่อค้ำยันขาดแรงพยุงตรงส่วนปลาย15
- การใส่ท่อค้ำยันในภาวะ excessive dynamic airway collapsed (EDAC)
การป้องกันการเกิด stent migration สามารถทำได้โดยการเลือกขนาดและรูปร่างของท่อค้ำยันให้เหมาะสม, การส่องกล้องหลอดลมเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนหลังใส่ท่อค้ำยันในกรณีหลอดลมตีบจากมะเร็งซึ่งได้รับการรักษาต่อเนื่องด้วยการฉายแสงและเคมีบำบัดซึ่งพบว่ามีโอกาสเกิด stent migration เมื่อมะเร็งมีขนาดเล็กลง4
กรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหา stent migration แล้วให้พิจารณาว่าผู้ป่วยยังมีข้อบ่งชี้ในการใส่ท่อค้ำยันอยู่หรือไม่ กรณีของหลอดลมตีบที่ไม่ใช่สาเหตุจากมะเร็งที่ได้รับการใส่ท่อค้ำยันเป็นระยะเวลา 6-18 เดือน16-17 และมี lumen patency มากกว่าร้อยละ 50 สามารถพิจารณาเอาท่อค้ำยันออกและติดตามอาการ แต่อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะ tracheomalacia ที่ถึงแม้ lumen patency จะมากกว่าร้อยละ 50 ในช่วงเวลาหายใจเข้าแต่ผู้ป่วยอาจมีอาการในช่วงหายใจออกหรือหายใจแรงได้จากการยุบตัวของหลอดลม ดังนั้นจึงต้องประเมินด้วยความระมัดระวัง แต่หากยังมีความจำเป็นต้องใส่ท่อค้ำยันต่อ ให้ทำการจัดตำแหน่งของท่อค้ำยันใหม่โดยอาจพิจารณาเปลี่ยนขนาดท่อค้ำยันให้เส้นผ่านศูนย์กลางมากขึ้น, พิจารณาเปลี่ยนชนิดของท่อค้ำยันเป็นแบบที่มีโอกาสเกิด migration น้อย เช่น การใช้ Montgomery T-tube ในsubglottic stenosis, การใช้ bifurcate stent ในหลอดลมตีบบริเวณใกล้กับ carina แทนการใช้ tubular silicone stent การใช้ hour-glass shape stent ใน conical shape stenosis หรือ subglottic stenosis เป็นต้น หรืออาจพิจารณาเย็บท่อค้ำยันยึดติดกับหลอดลม (suture fixation) การศึกษาของ Huang และคณะ15 ทำการศึกษาแบบย้อนหลังในผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อค้ำยันบริเวณหลอดลมส่วนต้นซึ่งมีจุดตีบต่ำกว่า glottis 2-5 เซนติเมตรที่ได้รับการเย็บท่อค้ำยันหลอดลมยึดติดกับหลอดลมโดยใช้ PEG kit (Create Medic Co., Ltd., Yokohama) ภายหลังมีปัญหา stent migration จำนวน 11 ราย พบว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการเย็บท่อค้ำยันและจากการติดตามผู้ป่วยนาน 5 เดือนพบว่าไม่มีรายใดเกิด stent migration ซ้ำ สำหรับโรงพยาบาลศิริราชมีกรณีศึกษาผู้ป่วย 1 ราย เป็นผู้หญิงอายุ 82 ปี ได้รับการวินิจฉัย severe tracheomalacia ซึ่งมีจุดตีบร้อยละ 90 บริเวณหลอดลมใหญ่ส่วนบนขณะหายใจออก ผู้ป่วยได้รับการใส่ท่อค้ำยันชนิด silicone บริเวณหลอดลมส่วนต้นและเกิดปัญหา stent migration หลายครั้งจึงได้ทำการเย็บผูกท่อค้ำยันยึดติดกับหลอดลม ดังแสดงในรูปที่ 1

2.3 การเกิด granulation
กลไกการเกิด granulation มีดังนี้
- Expansile radial force ของท่อค้ำยันที่กระทำต่อผนังหลอดลม ทำให้เยื่อบุผนังหลอดลมขาดเลือด เกิด ischemic necrosis ทำให้เกิดscarring และ granulation ตามมา ท่อค้ำยันที่มี expansile radial force สูงได้แก่ ท่อค้ำยันชนิด silicone และ self-expandable metallic stents (SEMS)
- การเสียดสีบริเวณขอบของท่อค้ำยันกับผนังหลอดลม ทำให้เกิด granulation บริเวณขอบของท่อค้ำยัน เนื่องจากหลอดลมใหญ่มีการหดสั้นลงขณะหายใจออกและขณะไอ ดังนั้นตำแหน่งของท่อค้ำยันที่มีโอกาสเสียดสีผนังหลอดลมมากที่สุดคือบริเวณหลอดลมใหญ่ส่วนต้น ซึ่งขอบบนของท่อค้ำยันจะขึ้นไปเสียดสีกับกล่องเสียง และหลอดลมใหญ่ส่วนปลายซึ่งขอบล่างของท่อค้ำยันจะเสียดสีกับ carina
ด้วยคุณสมบัติทางกลศาสตร์ชีวภาพของท่อค้ำยันชนิด silicone มี expansile radial force ซึ่งกระจายอย่างสม่ำเสมอบนพื้นผิวของท่อค้ำยัน granulation จึงมักเกิดที่ขอบบนและล่างของท่อค้ำยันซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีการเสียดสีกับผนังหลอดลม ในขณะที่ท่อค้ำยันชนิด metallic มี pressure point เกิดขึ้นบริเวณขอบของโครงลวดที่กดทับลงบนเยื่อบุหลอดลมทุกจุด กระตุ้นให้เกิด granulation ได้มากกว่าท่อค้ำยันชนิด silicone กลไกการเกิด granulation ในระดับโมเลกุลยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่น่าจะอธิบายด้วยกระบวนการซ่อมแซมตัวเองที่ผิดปกติ (abnormal wound healing) มีการศึกษาพบว่าใน granulation ของผู้ป่วยที่ใส่ท่อค้ำยันหลอดลมมี overexpression ของ transforming growth factor (TGF) -β1 ใน extracellular matrix และมี vascular endothelial growth factor (VEGF) ระดับสูงในชั้น submucosa18ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิด granulation สามารถแบ่งออกเป็นปัจจัยที่เกิดจากผู้ป่วย และปัจจัยอันเนื่องมาจากท่อค้ำยันหลอดลม ปัจจัยจากตัวผู้ป่วย เช่น อายุ, โรคร่วม พบว่าผู้ป่วยที่มีประวัติแผลเป็น keloid, มีการติดเชื้อของทางเดินหายใจบ่อย ๆ การเกิด bacterial colonization ในท่อค้ำยันโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเชื้อ Pseudomonas aeruginosa และ Staphylococcus aureus มีส่วนส่งเสริมให้เกิด granulation ในขณะที่ผู้ป่วยซึ่งได้รับยากดภูมิคุ้มกัน เช่น ภายหลังได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนปอด พบว่าเกิด granulation น้อยกว่ากลุ่มที่ภูมิคุ้มกันปกติ19-21 ส่วนปัจจัยอันเนื่องมาจากท่อค้ำยัน ได้แก่ อัตราส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อค้ำยันต่อหลอดลมมากกว่า 0.922 , การใส่ท่อค้ำยันบริเวณ subglottis หรือหลอดลมใหญ่ส่วนต้น มีการศึกษาพบว่าระยะห่างของท่อค้ำยันหลอดลมกับ vocal fold ที่น้อยกว่า 10 มิลลิเมตรสัมพันธ์กับการเกิด granulation เป็นต้น 23
ปัญหาที่ตามมาจากการเกิด granulation โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขอบบนและล่างของท่อค้ำยันคือการทำให้จุดตีบของหลอดลมยาวขึ้นซึ่งอาจทำให้รอยโรคไม่สามารถแก้ไขด้วยการผ่าตัดได้ ดังนั้นผู้ป่วยหลอดลมตีบที่ไม่ได้มีสาเหตุจากมะเร็ง ควรได้รับการพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัดเป็นลำดับแรก และพิจารณาใส่ท่อค้ำยันหลอดลมเฉพาะกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดได้(ได้แก่ หลอดลมตีบยาวกว่า 4 เซนติเมตร, หลอมลมตีบหลายตำแหน่ง, ผู้ป่วยมีโรคร่วมที่ไม่สามารถทนการผ่าตัดได้)
Granulation ที่เป็นเล็กน้อยไม่ก่อให้เกิดการอุดกั้นของท่อค้ำยันและไม่ก่อให้เกิดอาการ ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาเพิ่มเติม แต่ในกรณีรุนแรงสามารถก่อให้เกิดการอุดกั้นของท่อค้ำยัน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการหอบเหนื่อย หายใจเสียงดัง หรือมีอาการของการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนล่างอันเนื่องมาจากการอุดกั้นของท่อค้ำยันได้ การรักษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การ remove granulation โดยใช้ปากคีบ, การจี้ด้วยไฟฟ้า(electrocautery), การจี้ด้วยความเย็น (cryotherapy), การจี้ด้วย argon plasma coagulation (APC), การจี้ด้วยเลเซอร์, การฉายรังสีพลังงานสูงทางหลอดลม (brachytherapy)
การรักษา granulation ด้วยยาทั้งในรูปแบบ topical และ systemic อาศัยการออกฤทธิ์ยับยั้งกระบวนการต่าง ๆ ของ wound healing ในระยะ inflammatory, proliferative และ maturation ซึ่งเกี่ยวข้องกับ cytokine หลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TGF-β1 และ VEGF ส่วนใหญ่เป็นรายงานกรณีผู้ป่วยและการทดลองในสัตว์ ยาที่มีรายงานการใช้ เช่น corticosteroid, mitomycin, erythromycin และanti-reflux therapy 18,24-26
การบริหารยามีหลายรูปแบบ ได้แก่ intralesional injection, inhaled, systemic และ topical ดังแสดงในตารางที่ 3 อย่างไรก็ตามข้อมูลทั้งเรื่องของขนาดยา วิธีการบริหารยา ระยะเวลาในการรักษา ยังจำกัดอยู่เฉพาะกรณีศึกษาและสัตว์ทดลอง การนำมาใช้กับผู้ป่วยอาจต้องพิจารณาเป็นกรณีไป
ตารางที่ 3 การรักษา granulation ด้วยยาและกลการออกฤทธิ์ของยา
ยาหรือการรักษา | กลไก | การบริหารยา |
---|---|---|
Corticosteroid* | ↓ VEGF by inhibit TGF-beta1 signaling↓ Fibroblast proliferation | SystemicIntralesional injectionInhale |
Erythromycin** | ↓ VEGF by inhibit TGF-beta1 signaling ↓ Neutrophil reflux | TopicalOral |
Mitomycin | Antiproliferation (lower dose <1mg/ml) | Topical |
Anti-reflux therapy | PPI inhibit TGF-beta1 | Oral |
**รายงานการศึกษาในสัตว์ทดลอง: มีการให้การรักษาร่วมกันระหว่าง erythromycin (เทียบเท่ากับ oral dose 300 mg/day ในมนุษย์) และ Budesonide 1000 mcg spray โดยบริหารยา 7 วันก่อนการผ่าตัดและอีก 10 วันหลังการผ่าตัดต่อหลอดลมใหญ่ในสัตว์ทดลองพบว่าช่วยลดการเกิดพังผืดในหลอดลมภายหลังการผ่าตัดได้27
2.4 Stent related infection
ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเกิดการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง ได้แก่
- ปัจจัยอันเนื่องมาจากท่อค้ำยัน
ได้แก่ การเสีย mucocilliary function บริเวณที่ใส่ท่อค้ำยัน การเกิด bacterial colonization ภายในท่อค้ำยันซึ่งส่งผลให้เกิดcolonization ของทางเดินหายใจส่วนใต้ต่อท่อค้ำยันเพิ่มขึ้น การเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆของท่อค้ำยัน เช่น migration, misplacement, การเกิด granulation tissue, mucostasis ล้วนทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนใต้ต่อท่อค้ำยันซึ่งเพิ่มโอกาสการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่าง
2. ปัจจัยอันเนื่องมาจากตัวผู้ป่วย
- ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ได้รับการใส่ท่อค้ำยันมีสาเหตุมาจากมะเร็งมักมีภูมิคุ้มกันต่ำจากตัวโรคและการได้รับยาเคมีบำบัด ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
- ผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อค้ำยันเนื่องจากหลอดลมตีบที่ไม่ใช่สาเหตุจากมะเร็ง เช่น ภายหลังการติดเชื้อวัณโรคปอด มักมีความผิดปกติทางกายวิภาคของของหลอดลมและเนื้อปอดส่วนอื่นๆร่วมด้วย ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่างได้ง่าย
อย่างไรก็ตาม ภาวะ stent-related infection ไม่มีนิยามที่ชัดเจน การศึกษาแบบ systematic review ของ Agrafiotis และคณะ28 ได้เสนอเกณฑ์การวินิจฉัย stent-associated respiratory tract infection (SARTI) ดังนี้ (ต้องมีข้อ 1-3 ส่วนข้อ 4 จะมีหรือไม่ก็ได้)
- มีอาการซึ่งเกิดจากการติดเชื้อ ได้แก่ ไข้ เสมหะเป็นหนอง เสมหะปริมาณมากขึ้น อ่อนเพลีย โดยไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงของอาการเหนื่อยหรือสมรรถภาพปอดที่เป็นอยู่เดิม
- ภาพรังสีทรวงอกและ/หรือผลการส่องกล้องหลอดลม พบความผิดปกติของปอดบริเวณที่มีท่อค้ำยันหลอดลม
- ได้รับยาปฏิชีวนะ หรือต้องได้รับการเปลี่ยนหรือถอดท่อค้ำยันหลอดลมเพื่อการรักษา
- ผลเพาะเชื้อจากท่อค้ำยัน หรือน้ำล้างหลอดลมบริเวณที่มีท่อค้ำยันพบเชื้อก่อนโรค
จากการศึกษาของ Agrafiotis และคณะพบอุบัติการณ์ของ SARTI ร้อยละ 19 โดยพบว่าเป็นปอดอักเสบ (pneumonia) สูงที่สุดคือร้อยละ 47 ตามมาด้วยหลอดลมอักเสบเป็นหนอง (purulent bronchitis)ร้อยละ 24, ฝีในปอดร้อยละ 2 และ fungal ball ในท่อค้ำยันร้อยละ2 เชื้อก่อโรคที่พบบ่อยคือ Staphylococcus spp (ร้อยละ 39), Pseudomonas aeruginosa (ร้อยละ 28) ผู้ป่วยที่มีภาวะ SARTI พบว่ามีอัตราตายสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่หลอดลมตีบจากมะเร็งและกลุ่มหลอดลมตีบตามหลังการผ่าตัดเปลี่ยนปอดมีอัตราตายสูงถึงร้อยละ 76 และ88 ตามลำดับ สำหรับหลอดลมตีบจากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็งมีอัตราตายร้อยละ 42
SARTI สามารถเกิดได้ทันทีหลังการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมเป็นภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้การอาการแย่ลงและนำไปสู่การเสียชีวิตได้ มักพบในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนล่างนำมาก่อนการใส่ท่อค้ำยัน SARTI ที่เกิดหลังจากใส่ท่อค้ำยันหลอดลมไประยะหนึ่ง มีรายงานการเกิดต่างกันในแต่ละการศึกษา ขึ้นกับว่าการใส่ท่อค้ำยันสามารถแก้ปัญหาปอดอักเสบจากหลอดลมตีบได้หรือไม่และขึ้นกับภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่เกิดจากท่อคำยันด้วย
การรักษา SARTI ได้แก่ การให้ยาปฏิชีวนะ การแก้ไขปัญหาของท่อค้ำยันหลอดลมซึ่งทำให้เกิดการอุดกั้นของทางเดินหายใจ เช่น migration, granulation, secretion retention เป็นต้น และการแก้ปัญหาที่ตัวผู้ป่วย เช่น การทำกายภาพบำบัดทรวงอกในผู้ป่วยที่การไอไม่มีประสิทธิภาพ การฟื้นฟูภาวะโภชนาการ การลดยากดภูมิคุ้มกัน เป็นต้น
2.5 Bacterial colonization
Noppen และคณะ21 ทำการศึกษาไปข้างหน้าโดยเก็บสิ่งส่งตรวจ protected specimen brush จากหลอดลมของผู้ป่วยก่อนและหลังใส่ท่อค้ำยันหลอดลมนาน 3-4 สัปดาห์ โดยนิยามของ colonization ในการศึกษานี้คือพบเชื้อแบคทีเรียมากกว่าหรือเท่ากับ 102 colony forming unit พบว่าผู้ป่วย 11 รายจาก 14 รายมี airway colonization ที่ 3-4 สัปดาห์ นอกจากนี้มีการศึกษาที่พบว่า bacterial colonization ในท่อค้ำยันหลอดลมมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการเกิด granulation โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเชื้อ Staphylococcus aureusและ Pseudomonas aeruginosa8 อย่างไรก็ตามการเกิด bacterial colonization ในท่อค้ำยันมักไม่ก่อให้เกิดอาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ แต่อาจทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็นซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ภาวะนี้ได้บ่อยขึ้นในผู้ป่วยที่มีเสมหะอุดตันในหลอดลม อย่างไรก็ตามปัจจุบันยังไม่มีคำแนะนำให้ใช้ยาปฏิชีวนะหรือยาละลายเสมหะเพื่อป้องกันภาวะนี้
2.6 Stent fracture
เกิดจากการมีแรงมากระทำกับท่อค้ำยันหลอดลมซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ซึ่งแรงนี้เกิดจากหายใจปกติ การไอ การกลืน การเปลี่ยนแปลงท่าทาง ส่งผลให้ท่อค้ำยันเปราะหรือหักได้ เป็นภาวะแทรกซ้อนของท่อค้ำยันชนิด metallic ซึ่งพบได้ไม่บ่อยแต่มีอันตรายสูงและเป็นข้อบ่งชี้ในการนำท่อค้ำยันออก การเกิด fracture ทำให้โครงร่างของท่อค้ำยันหลอดลมเสียไปและอาจเกิดการหักพับหรือยุบตัวของท่อค้ำยันหลอดลม ผู้ป่วยจะมีอาการเหนื่อยจากการอุดกั้นของหลอดลม ชิ้นส่วนของท่อค้ำยันอาจหลุดลงไปยังหลอดลมส่วนปลาย ทำให้เกิดปอดอักเสบ หรือแทงทะลุผนังของหลอดลมได้ การนำท่อค้ำยันชนิด metallic ออกทำได้ยากกว่าท่อค้ำยันชนิดซิลิโคนและมีรายงานการเกิดภาวะแทรกซ้อนสูง เช่น การเกิดเลือดออกในทางเดินหายใจ การฉีกขาดของเยื่อบุหลอดลม การหายใจล้มเหลว และเสียชีวิต28-35 ปัจจุบันยังไม่มีรายงานวิธีหรือเทคนิคมาตรฐานในการนำท่อค้ำยันชนิด metallic ออก กรณีที่ท่อค้ำยันหักเป็นชิ้นๆ ไม่สามารถนำออกมาได้ทั้งหมดในคราวเดียว ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการส่องกล้องหลายครั้ง
การส่องกล้องเพื่อน้ำชิ้นส่วนของท่อค้ำยันชนิด metallic ออกแพทย์จำเป็นต้องเตรียมรับมือกับภาวะแทรกซ้อนต่างๆ โดยปัจจัยที่พบว่าสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สูง ได้แก่ uncovered metallic stent การใส่ท่อค้ำยันนานกว่า 30 วันซึ่งจะเกิด mucosal epithelialization ที่ผิวในของท่อค้ำยันแล้ว และการใช้ท่อค้ำยันชนิด metallic ในหลอดลมตีบซึ่งไม่ได้มีสาเหตุจากมะเร็ง ในปี 2005 Food and Drug administration (FDA) แห่งสหรัฐอเมริกา จึงมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้ท่อค้ำยันชนิด metallic ในผู้ป่วยหลอดลมตีบจากสาเหตุที่ไม่ใช่มะเร็ง เนื่องจากรายงานภาวะแทรกซ้อนอันเกิดจากท่อค้ำยันรวมถึงภาวะแทรกซ้อนจากการนำท่อค้ำยันออก
การวางแผนการส่องกล้องเพื่อนำท่อค้ำยันหลอดลมออกแพทย์อาจทำการประเมินก่อนด้วยการส่องกล้องหลอดลมชนิด flexible และส่งเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์ทรวงอกเพื่อประเมินลักษณะทางกายวิภาคของหลอดลม ตำแหน่งของท่อค้ำยัน และตำแหน่งของหลอดเลือดที่สัมพันธ์กับหลอดลมและท่อค้ำยัน การนำท่อค้ำยันชนิด metallic ออกโดยใช้ rigid bronchoscopy มีข้อได้เปรียบกว่า flexible bronchoscopy เนื่องจากผู้ป่วยอาจต้องได้รับการทำหัตการต่าง ๆ ก่อนจึงจะนำท่อค้ำยันออกได้ เช่น การจี้ granulation ที่ปกคลุมบริเวณขอบและผิวของท่อค้ำยัน ในกรณีเกิดทางเดินหายใจตีบหลังนำท่อค้ำยันออกก็สามารถช่วยผู้หายใจผ่าน rigid scope และสามารถควบคุมการเกิดเลือดออกในทางเดินหายใจได้ดีกว่า flexible bronchoscopy กรณีที่ไม่สามารถนำชิ้นส่วนของท่อค้ำยันออกได้หมดและผู้ป่วยยังมีอาการจากทางเดินหายใจตีบ อาจพิจารณาใส่ท่อค้ำยันชนิดซิลิโคนทับลงไปบนท่อค้ำยันชนิด metallic36
การดูแลผู้ป่วยที่ได้รับการใส่ท่อค้ำยันหลอดลม
ผู้ป่วยทุกรายควรได้รับคำแนะนำให้พ่น normal saline วันละ 3-4 ครั้งเพื่อป้องกันการเกิดเสมหะอุดตันในท่อค้ำยันหลอดลมและควรมีบัตรประจำตัวผู้ป่วยซึ่งระบุชนิด ขนาด ความยาวของท่อค้ำยันหลอดลม และตำแหน่งของท่อค้ำยันหลอดลมโดยวัดระยะห่างจากเส้นเสียงถึงขอบบนของท่อค้ำยัน และขอบล่างของท่อค้ำยันถึง carina แนวทางการติดตามผู้ป่วยหลังใส่ท่อค้ำยันหลอดลมยังมีความแตกต่างกันขึ้นกับประสบการณ์ของแต่ละสถาบัน โดยทั่วไปแนะนำให้ส่องกล้องตรวจหลอดลมในผู้ป่วยที่มีอาการของระบบทางเดินหายใจขึ้นมาใหม่หลังการใส่ท่อค้ำยันหลอดลม
Matsuo และคณะ4 ทำการศึกษาโดยส่องกล้องตรวจหลอดลมผู้ป่วยทุกรายภายหลังได้รับการใส่ท่อค้ำยันชนิดซิลิโคน 2-3 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นท่อค้ำยันซิลิโคนชนิดท่อตรง (straight silicone tube) พบว่าผู้ป่วยที่เกิดภาวะแทรกซ้อนของท่อค้ำยันส่วนใหญ่มีอาการของระบบทางเดินหายใจนำมาก่อน ได้แก่ อาการเหนื่อย ไอ เสมหะ ส่วนน้อยที่มีอาการรุนแรงและเกิดการหายใจล้มเหลวซึ่งต้องการการส่องกล้องฉุกเฉิน และมีเพียงร้อยละ 10 ของผู้ป่วยที่ไม่มีอาการของระบบทางเดินหายใจนำมาก่อน จึงไม่แนะนำให้ติดตามผู้ป่วยด้วยการส่องกล้องหลอดลมทุกรายภายหลังการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ป่วยไม่มีอาการ แต่ควรส่องกล้องหลอดลมผู้ป่วยทุกรายที่มีอาการทางระบบการหายใจเกิดขึ้นใหม่ Lee และคณะ2 ทำการส่องกล้องหลอดลมผู้ป่วยทุกรายภายหลังการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมภายใน 4-6 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยได้รับการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมที่หลากหลายมากกว่าการศึกษาแรกพบภาวะแทรกซ้อนร้อยละ 69 เกิดจากท่อค้ำยันอุดตันจากเสมหะร้อยละ 37,ท่อค้ำยันอุดตันจากเนื้องอกหรือ granulation ร้อยละ27, ท่อค้ำยันเลื่อนร้อยละ 20, ท่อค้ำยันเปราะร้อยละ 1, และท่อค้ำยันพับงอร้อยละ 1โดยพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 63 มีอาการของระบบทางเดินหายใจอย่างใดอย่างหนึ่งในวันส่องกล้อง ในขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่มีอาการก็สามารถตรวจพบภาวะแทรกซ้อนจากท่อค้ำยันได้ถึงร้อยละ 60 ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการส่องกล้องตรวจหลอดลมภายใน 4-6 สัปดาห์หลังการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมช่วยให้ตรวจพบภาวะแทรกซ้อนได้ตั้งแต่เริ่มแรก ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ต้องการการรักษาเพิ่มเติมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่อาการของระบบทางเดินหายใจไม่มีความสัมพันธ์กับการเกิดภาวะแทรกซ้อน และพบภาวะแทรกซ้อนมากที่สุดในกลุ่มท่อค้ำยันชนิด hybrid
โดยสรุป การพิจารณาตรวจติดตามผู้ป่วยภายหลังการใส่ท่อค้ำยันโดยการส่องกล้องหลอดลม อาจช่วยให้ตรวจพบภาวะแทรกซ้อนของท่อค้ำยันแต่เนิ่นๆก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการ ช่วยลดอุบัติการณ์การเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงในอนาคต ลดการนอนโรงพยาบาลและอัตราการเข้าห้องฉุกเฉิน4 อาจเหมาะสมกับผู้ป่วยที่อยู่ห่างไกลหรือไม่สามารถเข้าถึงการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้ยังช่วยประเมินว่าผู้ป่วยยังจำเป็นต้องได้รับการใส่ท่อค้ำยันต่อไปหรือไม่ เช่น กรณีของท่อค้ำยันที่ใส่ในหลอดลมตีบจากมะเร็งภายนอกกดเบียดที่ได้รับการรักษาด้วยการฉายแสงหรือยาเคมีบำบัด อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อมูลเรื่องความคุ้มค่าของการส่งกล้องหลอดลมในผู้ป่วยทุกราย
บทสรุป
ภาวะแทรกซ้อนของท่อค้ำยันหลอดลมเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและเกิดได้ทุกระยะหลังใส่ท่อค้ำยันหลอดลม เช่น mucostasis, granulation และmigration ซึ่งอาจมีอาการตั้งแต่เล็กน้อยจนถึงทำให้เกิดการอุดกั้นทางเดินหายใจได้ ผู้ป่วยที่มีอาการของระบบทางเดินหายใจขึ้นมาใหม่ควรได้รับประเมินอย่างเร่งด่วนและอาจต้องได้รับส่องกล้องตรวจหลอดลมเพื่อประเมินภาวะแทรกซ้อนทันที นอกจากนี้การดูแลหลังจากการใส่ท่อค้ำยันหลอดลมยังมีความสำคัญเพื่อลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ
เอกสารอ้างอิง
- Freigtag L, Eicker K, Donovan TJ, et al. Mechanical properties of airway stents. Journal of bronchology 1995; 2:270-78.
- Lee H.J, Labaki W, Yu D. H, et al. Airway stent complications: the role of follow-up bronchoscopy as a surveillance method. J Thorac Dis 2017; 9:4651-9.
- Murgu D, Colt G. Complications of silicone stent insertion in patients with expiratory central airway collapse. Ann Thorac Surg 2007; 84:1870-7.
- Matsuo T, Colt HG. Evidence against routine scheduling of surveillance bronchoscopy after stent insertion. Chest 2000; 118:1455-9.
- Ryu Y J, Kim H, Yu C.M, et al. Use of silicone stents for the management of post-tuberculosis tracheobronchial stenosis. Eur Respir J 2006; 28:1029-35.
- Lim SY, Park HK, Jeon K, et al. Factors predicting outcome following airway stenting for post-tuberculosis tracheobronchial stenosis. Respirology 2011; 16:959-64.
- Zakaluzny SA, Lane JD, Mair EA. Complications of tracheobronchial airway stents. Otolaryngol Head Neck Surg 2003; 128:478-88.
- Nouraei RSE, Petrou MA, Randhawa PS, et al. Bacterial Colonization of Airway Stents. A promoter of granulation tissue formation following laryngotracheal reconstruction. Arch Otolaryngol Head Neck Surg 2006; 132:1086-90.
- Harris K, Dhillon SS, Alraiyes AH. Personalized bronchial stent therapy. Ann Am Thorac Soc 2015; 12:451-4.
- Folch E, Keyes C. Airway stents. Ann Cardiothorac Surg 2018; 7:273-83.
- Noppen M, Meysman M, Claes I, et al. Screw-thread vs Dumon endoprosthesis in the management of tracheal stenosis. Chest 1999; 115:532.
- Olze H, Dörffel W, Kaschke O. Endotracheal silicon stents in therapy management of benign tracheal stenoses. HNO 2001; 49:895.
- Lemaire A, Burfeind WR, Toloza E, et al. Outcomes of tracheobronchial stents in patients with malignant airway disease. Ann Thorac Surg 2005; 80:434-7.
- Oki M, Saka H, Kitagawa C, et al. Migrated Silicone Y-Stent. J Bronchol 2006; 13:163-5.
- Huang J, Zhang Z, Zhang T. Suture fixation of tracheal stents for the treatment of upper trachea stenosis: a retrospective study. J Cardiothorac Surg 2018; 13:111.
- Martinez-Ballarin JI, Diaz-Jimenez JP, Castro MJ, et al. Silicone stents in the management of benign tracheobronchial stenoses. Tolerance and early results in 63 patients. Chest 1996; 109:626–9.
- Brichet A, Verkindre C, Dupont J, et al. Multidisciplinary approach to management of postintubation tracheal stenoses. Eur Respir J 1999; 13:888-93.
- Lee YC, Hung MH, Liu LU, et al. The roles of transforming growth factor-b1 and vascular endothelial growth factor in the tracheal granulation formation. Pulmonary Pharmacology & Therapeutics 2011; 24:23e31.
- Shlomi D, Peled N, Shitrit D, et al. Protective effect of immunosuppression on granulation tissue formation in metallic airway stents. Laryngoscope 2008; 118:1383-8.
- Ost DE, Shah AM, Lei X, et al. Respiratory infections increase the risk of granulation tissue formation following airway stenting in patients with malignant airway obstruction. Chest 2012; 141:1473-81.
- Noppen M, Pierard D, Meysman M, et al. Bacterial colonization of central airways after stenting. Am J Respir Crit Care Med 1999; 160:672-7.
- Hu HC, Liu YH, Wu YC, et al. Granulation tissue formation following Dumon airway stenting: The influence of stent diameter. Thorac Cardiov Surg 2011; 59:163-8.
- Ko PJ, Liu CY, Wu YC, et al. Granulation formation following tracheal stenosis stenting: Influence of stent position. Laryngoscope 2009; 119:2331-6.
- Penafiel A, Lee P, Hsu A, et al. Topical mitomycin-C for obstructing endobronchial granuloma. Ann Thorac Surg 2006; 82:e22–3.
- Chen Y, Xu D, Zeng Y, et al. Local betamethasone injection stabilized the opened-airway diameter in benign central airway stenosis. Biomedical Research 2017; 28:7281-5.
- Terra RM. Idiopathic tracheal Stenosis: successful outcome with antigastroesophageal reflux disease therapy. Ann Thorac Surg 2008; 85:1438-9.
- Iñiguez-Cuadra R, San Martín Prieto J, Iñiguez-Cuadra M, et al. Effect of mitomycin in the surgical treatment of tracheal stenosis. Arch Otolaryngol Head Neck Surg 2008; 134:709-14.
- Agrafiotis M, Siempos II, Falagas ME. Infections related to airway stenting: A Systematic review. Respiration 2009; 78:69-74.
- Simoff M, Shah S, Jennings J, et al. Removal of self expanding metallic stents. J Bronchology Interv Pulmonol 2016; 23:279-82.
- Fruchter O, Raviv Y, Fox BD, et al. Removal of metallic tracheobronchial stents in lung transplantation with flexible bronchoscopy. J Cardiothoracic Surg 2010; 5:72.
- Wang HW, Zhou YZ, Li DM, et al. Endoscopic retrieval of metallic stents in patients with airway diseases. Zhonghua Yi Xue Za Zhi 2010; 90:1411-5.
- Ranu H, Evans J, Sheth A, et al. Removal of long-term tracheal stents with excellent tracheal healing. Ann Thorac Surg 2010; 89:598-9.
- Chan AL, Juarez MM, Allen RP, et al. Do airway metallic stents for benign lesions confer too costly a benefit? BMC Pulm Med 2008; 8:7.
- Lunn W, Feller-Kopman D, Wahidi M, et al. Endoscopic removal of metallic airway stents. Chest 2005; 127:2106-12.
- Noppen M, Stratakos G, D’Haese J, et al. Removal of covered self-expandable metallic airway stents in benign disorders. Chest 2005; 127:482-7.
- Murgu S, Stoy S. The When, the How and the Why of metallic stent removal. J Bronchol Intervent Pulmonol 2016; 23:266-71.